วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556




AK-47



   พอสมควร ในใจของผมนั้นชอบปืนอาก้ามากด้วยสภาพการใช้ที่ทนทานและดูแลรักษาง่ายแต่ วันนี้ขอบอกกล่าวเรื่องของปืน AK-47 หรือ ปืนอาก้า  กันครับ AK-47 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมขนาด 7.62 ม.ม.ที่ทำงานด้วยระบบแก๊สและเลือกการยิงได้ มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยมิคาอิล คาลาชนิคอฟของสหภาพโซเวียต ชื่อเอเค-47 ย่อมาจาก Kalashnikov automatic rifle, model of 1947 (รัสเซีย: Автомат Калашникова 47) ดังนั้นมันจึงมักเรียกกันในชื่อย่อว่า Avtomat Kalashnikova (หรือเรียกง่ายๆ ว่า AK),Kalashnikov หรือที่ชาวรัสเซียมักเรียกกันสั้นๆ ว่า Kalash) ซึ่งแปลว่า "ปืนเล็กยาวอัตโนมัติของคาลาชนิคอฟ ปี 1947"

   การออกแบบเริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2487 ในปีพ.ศ. 2489 รุ่นหนึ่งของปืนเล็กยาวก็เกิดขึ้น มันมีชื่อว่า
AK-46 ซึ่งถูกเสนอให้กับกองทัพ หนึ่งปีต่อมามีการัดแปลงพานท้ายจนนำไปใช้ในกองทัพแดง
การพัฒนาเบื้องต้นคือ AKS-47 (S—Skladnoy แปลว่า"พับ") ซึ่งแตกต่างตรงที่มันเป็นพานท้ายเหล็ก AK-47 ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2492 และถูกใช้โดยสมาชิกส่วนมากจาก
สนธิสัญญาวอร์ซอ AK-47 ใช้กระสุนขนาด 7.62x39 ม.ม.ซึ่งสร้างความเสียหายได้มาก เนื่องจากกระสุนจะบดขยี้และสร้างสะเก็ดเข้าไปในเนื้อเยื่อ แต่ก็สร้างความเสียหายได้เล็กน้อยหากมันทะลุออกไปเสียก่อน AK-47 รุ่นเดิมเป็นหนึ่งในปืนเล็กยาวจู่โจมอย่างแท้จริง แม้ว่าจะผ่านไปหกทศวรรษ แต่ด้วยความทนทาน ต้นทุนที่ต่ำ และง่ายในการใช้งาน ทำให้มันกลายเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่แพร่หลายมากที่สุดในโลก มันถูกผลิตในหลายประเทศและอยู่ในประจำการในกองทัพส่วนทั่วไป รวมทั้งพวกกลุ่มนักปฏิวัติและองค์กรก่อการร้าย AK-47 ยังถูกใช้เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาอาวุธปืนบุคคลแบบใหม่ ปืนตระกูลAKนั้นถูกผลิตขึ้นมามากกว่าปืนรุ่นอื่นๆ รวมกันเสียอีก

ประวัติความเป็นมาของปืนAK-47

ปืนAK-47 ได้รับการออกแบบครั้งแรกในปีพ.ศ. 2484 และพัฒนาจนเป็นรูปแบบมาตรฐานในปีพ.ศ. 2490 โดยได้ยึดพื้นฐานมาจากปืนเล็กยาวจู่โจม StG 44 หรือ MP 44 ซึ่งเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ใช้ในหน่วยทหาร SS ของนาซีเยอรมันในแนวรบด้านรัสเซีย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นปืนเล็กยาวอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นเมื่อเทียบกับชาติ อื่นๆ ในช่วงเดียวกัน และตัวเขาเองก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บด้วยปืนชนิดนี้ด้วย ซึ่งเขาก็เห็นว่าไม่ยุติธรรมเลยที่กองทัพนาซีเยอรมันได้ใช้อาวุธปืน อัตโนมัติอันทันสมัยมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่ปืนเล็กยาว เมาเซอร์ คาร์ 98 เคิร์ซ (Kar98K) ปืนกลมือMP 40 ปืนกลเบาMG- 34 และปืนกลเบาMG- 42 รวมทั้งรถถังยานเกราะอีกมากมาย ในขณะที่กองทัพโซเวียตกลับมีเพียงปืนเล็กยาวโมซัง นาเกนท์อันคร่ำครึมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติSVT-40 กับปืนกลมือPPSCS-41 เท่านั้น ส่วนปืนกลระดับหมู่ก็มีเพียงปืนกลเดกท์ยาร์ยอฟเท่า นั้น โดยรถถังยานเกราะกับยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพโซเวียตในขณะนั้น ถ้าไม่เป็นของเก่าตกค้างมาจากสงครามโลกครั้งที่แล้วส่วนมากก็อยู่ในสภาพเก่า และไม่พร้อมใช้เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณซ่อมแซม

    ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ยึดอาวุธและเทคโนโลยีทางการทหารของนาซีเยอรมัน ไปเป็นต้นแบบในการผลิตอาวุธของตนเอง โดยคาลาชนิคอฟเองก็ได้นำรูปทรงและระบบกลไกของปืนเล็กยาวอัตโนมัติ StG 44 และปืนเล็กยาว SVT-40 รวมทั้งกระสุนขนาด 7.62x54 mm. R และ 7.92x33 mm. Kurz มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาในเรื่องของกระสุนก่อน ซึ่งกระสุนมาตรฐานของกองทัพโซเวียตในขณะนั้นคือกระสุนขนาด 7.62x54 ม.ม.ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2434 โดยได้พัฒนาออกมาเป็นกระสุนขนาด 7.62x41 ม.ม.และมีการพัฒนาปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาใช้กับกระสุนขนาดนี้ด้วยคือปืน AK-46 ซึ่งยังมีรูปทรงคล้ายกับปืนSTG- 44 อยู่มาก แต่เนื่องจากประสิทธิภาพของปืนและกระสุนไม่ดีเท่าที่ควรนักจึงได้มีการปรับ ปรุงปืนและกระสุนใหม่อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงกระสุนก่อนจนเป็นกระสุนขนาด 7.62x39 ม.ม.ซึ่งได้นำมาใช้ครั้งแรกกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ SKS หรือ ปืนเซกาเซ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก่อน พร้อมทั้งนำปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AK-46 มาปรับปรุงระบบกลไกและรูปทรงอีกครั้ง โดยได้เอารูปทรงของปืน SKSเข้ามาร่วมในการออกแบบด้วยจนออกมาเป็นปืนAK-47 ที่มีรูปทรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


คุณสมบัติของปืนAK-47











ปืนAK-46 ยังมีรูปทรงทั่วไปคล้ายปืนSTG- 44 อยู่






ปืนAK-47 รุ่นต้นแบบ ผลิตในปีพ.ศ. 2490






ปืนAK-47 รุ่นปรับปรุงในปีพ.ศ. 2498

 ปืนAK-47 เองเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปืนที่มีน้ำหนักเบาพอสมควร มีขนาดสั้นกะทัดรัดและมีขนาดกระสุนที่เหมาะสม สามารถเลือกทำการยิงได้ 3 โหมด คือ ห้ามไก อัตโนมัติ และกึ่งอัตโนมัต สามารถถอดล้างในสนามได้ง่ายมาก นับเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมแบบหนึ่งที่ยังมีการใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยมีการผลิตปืนAK-47 และปืนรูปแบบอื่นๆที่พัฒนาโดยใช้ปืนAK-47 เป็นต้นแบบเป็นจำนวนมากกว่าปืนเล็กยาวจู่โจมชนิดอื่นๆ และยังคงมีการผลิตและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปีพ.ศ. 2502 ก็ได้มีการนำปืนAK-47 มาทำการแก้ไขปรับปรุงระบบกลไกและวิธีการผลิตต่างๆให้ดีขึ้นและเรียกในชื่อ ใหม่ว่าAKM (AKM : Avtomat Kalashnikova Modernizirovannyj หรือ Kalashnikov Automatic rifle, Modified) ซึ่งปืนรุ่นนี้จะมีการปั้มขึ้นรูปโครงปืนด้วยเครื่องจักรและมีการทำ สัญลักษณ์ด้วยการปั้มดุนแผ่นเหล็กโครงปืนให้เป็นเพียงช่องเล็กๆรวมทั้งมีการ ดัดแปลงปากลำกล้องให้เป็นรูปเฉียงปากฉลามเพื่อลดอาการสะบัดขึ้นเมื่อทำการ ยิง ซึ่งผิดกับกระบวนการผลิตของปืนAK-47 ที่มีการผลิตด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเซาะร่องและปั้มดุนโครงปืนเข้าไปเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เหนือช่องใส่ซองกระสุน และปากลำกล้องตัดตรงทำให้เวลายิงด้วยระบบอัตโนมัติ ปืนจะสะบัดเป็นอย่างมาก
     ต่อมาในปีพ.ศ. 2517 กองทัพโซเวียตก็ได้มีการนำปืนAK-47 และปืนAKM มาทำการปรับปรุงและพัฒนาอีกครั้งจนเป็นปืนAK-74 และนำมาใช้กับกระสุนขนาด 5.45x39 ม.ม.รุ่น M-74 หรือ 5N7 ซึ่งได้รับพัฒนาและปรับปรุงมาจากกระสุนขนาด 5.56x45 ม.ม.แบบนาโต้ของกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองกำลังนาโต้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ เสริมได้ เช่น ปืนยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.แบบติดตั้งใต้ลำกล้อง รุ่น GP-25 ดาบปลายปืน ฯลฯ เป็นต้น



ชนิด                      ปืนเล็กยาวจู่โจม
สัญชาติ                  Flag of the Soviet Union สหภาพโซเวียต
บทบาทประจำการ     พ.ศ. 2492-ปัจจุบัน
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบ              มิคาอิล คาลาชนิคอฟ พ.ศ. 2487-2489
บริษัทผู้ผลิต            อิซชมาก
จำนวนที่ผลิต           70 ล้านกระบอก
ข้อมูลจำเพาะ
น้ำหนัก                  4.6 กิโลกรัม (ใส่แม็กกาซีนเปล่า)
ความยาว               870 มิลลิเมตร (พานท้ายไม้)
                           875 มิลลิเมตร (ยืดพานท้าย)
                           645 มิลลิเมตร (พับพานท้าย)
ความยาวลำกล้อง     415 มิลลิเมตร
กระสุน                    7.62x39 ม.ม.
การทำงาน               ระบบแก๊ส
อัตราการยิง              600 นัดต่อนาที
ความเร็วปากกระบอก     715 เมตรต่อวินาที
ระยะหวังผล                 300 เมตร (อัตโนมัติสมบูรณ์)
                                400 เมตร (กึ่งอัตโนมัติ)
ระบบป้อนกระสุน      กระสุนบรรจุแม็กกาซีนแบบกล่อง 20-30 นัด หรือ แม็กกาซีนแบบกลม 40-75 นัด
ศูนย์เล็ง                 เป้าเหล็กแบบปรับได้ 100-1,000 เมตร รัศมี 378 เมตร







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น